ในวันที่ 25 มกราคม 2019 อเล็กซิส ซานเชซ กลับมาเยือนสนามเอมิเรตส์ สเตเดียมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านดีลสลับตัวกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน เมื่อปี 2018 แฟนบอลอาร์เซนอลต่างส่งเสียงโห่ต้อนรับเขาในนัดการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพรอบที่ 4 แต่ในนาทีที่ 31 ซานเชซก็สามารถพิสูจน์ความสามารถของเขาด้วยประตูสุดสวยที่ทำให้ทีมปีศาจแดงขึ้นนำในเกมที่จบด้วยชัยชนะ 3-1
อย่างไรก็ตาม ค่ำคืนนั้นกลับกลายเป็นเพียงความหวังชั่วคราว เมื่อผ่านไปเพียง 7 เดือน ซานเชซถูกปล่อยยืมตัวไปยังอินเตอร์ มิลาน และไม่เคยกลับมาสวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกเลย ซึ่งทำให้แฟนบอลหลายคนมองว่าเขาคือหนึ่งในความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ทำไมซานเชซถึงล้มเหลวที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด?
หลังจากย้ายมาจากอาร์เซนอล ซานเชซเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจนถึงปี 2022 ด้วยค่าจ้างรายปีประมาณ 14 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าจ้างสูงที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยสโมสรยังจ่ายค่าธรรมเนียมการเซ็นสัญญา 20 ล้านปอนด์ และอีก 10 ล้านปอนด์ให้กับเอเยนต์ รวมเป็นเงินมหาศาลถึง 93 ล้านปอนด์
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็เคยสนใจในตัวซานเชซ แต่ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินตามที่นักเตะเรียกร้อง ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคาดหวังว่าซานเชซจะเป็นผู้เล่นที่ทำให้ทีมกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยโชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น กล่าวว่านี่คือนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลก และพวกเขาถึงขั้นปล่อยวิดีโอเปิดตัวสุดพิเศษของซานเชซที่เล่นเพลง “Glory Glory Man United” บนเปียโน ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นที่ล้อเลียนของแฟนบอลคู่แข่งเมื่อเขาทำผลงานได้แย่
การเริ่มต้นที่น่าผิดหวัง
ซานเชซทำผลงานได้ดีในเกมเอฟเอ คัพนัดแรกที่พบกับโยวิล ทาวน์ แต่ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดเปิดตัวกับสเปอร์ส เขากลับไม่สามารถสร้างความประทับใจได้เลย จากการยิงประตูแรกที่ต้องอาศัยโชคช่วยในเกมพบกับฮัดเดอร์สฟิลด์ ผลงานของเขายังคงตกต่ำ โดยมักเสียบอลหลายครั้งและพลาดโอกาสสำคัญในเกมที่ทีมต้องการประตู
ความมั่นใจและพลังงานที่หายไป
ในฤดูกาลแรก ซานเชซลงเล่น 15 นัดในทุกการแข่งขัน แต่ทำได้เพียง 2 ประตู แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจบ้าง เช่น การช่วยให้ทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยการคัมแบ็คสุดยอด 3-2 แต่โดยรวมแล้วเขาไม่สามารถเป็นผู้เล่นที่พลิกเกมได้เหมือนที่เคยทำที่อาร์เซนอล
อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอลเคยกล่าวถึงฟอร์มตกของซานเชซว่า “เขาสูญเสียความมั่นใจและพลังงานที่เป็นจุดแข็งสำคัญของเขา” ซานเชซดูเหมือนไม่กล้าที่จะเสี่ยงในการเล่น และขาดจังหวะที่ต่อเนื่องในทีมของมูรินโญ่ที่เน้นเกมรับ
การถูกดร็อปและความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับโค้ช
ในฤดูกาลถัดมา ซานเชซทำได้เพียง 2 ประตูจาก 27 นัด เขาถูกดร็อปจากทีมในหลายเกมสำคัญ และมีรายงานว่าเขาถูกมูรินโญ่ตำหนิอย่างรุนแรงในที่ประชุมทีมก่อนเกมพบกับเวสต์แฮม การบาดเจ็บและการฟอร์มตกทำให้เขาสูญเสียความไว้วางใจจากผู้จัดการทีม และถึงแม้ว่ามูรินโญ่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่สถานการณ์ของซานเชซก็ไม่ได้ดีขึ้น
ทัศนคติที่ไม่เหมาะสม
เมื่อโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาคุมทีมในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราว ซานเชซยังคงไม่ได้รับความไว้วางใจ และเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจกับบทบาทที่ลดลงของตัวเองในทีม โดยกล่าวว่า “ผมเป็นนักเตะที่ต้องได้สัมผัสบอล ผมสูญเสียไฟในการเล่นเมื่อไม่ได้ลงสนาม และผมอยากเล่นทุกนัด” แม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสลงเล่น แต่เขาก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้
การย้ายทีมและการปลดปล่อย
ในที่สุด ซานเชซถูกปล่อยยืมตัวไปยังอินเตอร์ มิลานในปี 2019 โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตกลงจ่ายเงินชดเชยเพื่อยกเลิกสัญญาสองปีสุดท้ายของเขา หลังจากออกจากสโมสร ซานเชซได้กล่าวในวิดีโออินสตาแกรมว่าเขารู้สึกเสียใจที่ย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดงตั้งแต่วันแรก พร้อมทั้งตำหนิสโมสรว่าไม่ได้สร้างบรรยากาศที่เป็นครอบครัวเหมือนที่เขาเคยสัมผัสที่อาร์เซนอล
บทเรียนจากกรณีของซานเชซ
การล้มเหลวของซานเชซที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการมีชื่อเสียงและค่าจ้างสูงไม่ได้รับประกันความสำเร็จในสนาม การขาดความสม่ำเสมอและความเข้าใจระหว่างนักเตะกับทีมสามารถทำลายศักยภาพของผู้เล่นได้ แม้ว่าซานเชซจะกลับมาทำผลงานได้ดีที่อินเตอร์ มิลาน แต่เขาไม่สามารถลบภาพลักษณ์ของความล้มเหลวที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดได้
ในท้ายที่สุด ซานเชซยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า นักเตะที่คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าสโมสรจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในทีมที่เน้นความร่วมมือและความมุ่งมั่นเป็นหลัก